ค้นหาศูนย์บริการและสาขา เช็คราคา
icon-ask-question
ค้นหาศูนย์บริการและสาขา

กรุณากรอกข้อมูล

กรุณากรอกข้อมูล

อีเมลไม่ถูกต้อง

กรุณากรอกข้อมูล

กรุณากรอกข้อมูล

กรุณากรอกข้อมูล

I have a ประกันรถยนต์

I have a ประกันรถยนต์

I have a รถยนต์
I have a ประกัน
          Uh!!
I have a ประกันรถยนต์

      จาก Viral Video ยอดฮิต มาถึงเรื่องยอดฮิต อีก 1 เรื่อง ที่ผมต้องการจะเล่าให้ฟังอีกเรื่องนึง แต่คราวนี้ไม่ใช่ Viral Video แล้ว แต่เป็นเรื่องของ “ประกันภัยรถยนต์” ซึ่งในวันนี้ผมได้รับมอบหมายให้มาเล่าเรื่องนี้ เพื่ออธิบายและให้ความเข้าใจเรื่องประกันภัยรถยนต์แก่ทุกท่าน ... จากสถิติการซื้อประกันภัยในแต่ละปีของคนไทย ปรากฎว่าในแต่ละปีนั้นประกันรถยนต์มีส่วนแบ่งการตลาดในส่วนของประกันภัยมากที่สุด (ไม่รวมประกันชีวิต) โดยแต่ละปีมียอดเบี้ยเฉลี่ยสูงกว่า “หนึ่งแสนล้านบาท” เลยทีเดียว

      จากข้อมูลดังกล่าว ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านอาจจะมีประกันรถยนต์กันอยู่แล้ว แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า ประกันรถยนต์แต่ละประเภทนั้น “เหมือน” หรือ “แตกต่าง” กันอย่างไร? เพราะตัวผมเองตอนที่ซื้อรถใหม่ ๆ แล้วเขาบอกว่าแถมประกันให้ ผมยังไม่ทราบเลยว่าประกันที่แถมมาให้นั้นให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง? ดังนั้นวันนี้ ผมเลยจะขอมาอธิบายเปรียบเทียบประกันแต่ละแบบอย่างง่าย ๆ ให้ได้เข้าใจกันนะครับ

      ขอเริ่มที่ ประกันชั้น 1 กันก่อนเลย ประกันประเภทนี้เข้าใจง่าย ๆ ตรงตามชื่อเลยครับ คือ ชั้นหนึ่ง หรือจะเรียกให้ดูดีขึ้นว่าประกันแบบ First Class ซึ่งหมายถึงประกันรถยนต์ที่ดีที่สุดนั่นเอง ถามว่าทำไมถึงดีที่สุด เพราะให้ความคุ้มครองมากที่สุดไงครับ หากเราขับรถไปชนรถผู้อื่น ประกันชั้น 1 ก็จะซ่อมให้ทั้งรถเราและรถคู่กรณี หรือหากไม่มีคู่กรณี เช่น เราขับไปชนกำแพง เสาไฟ ต้นไม้ ฯลฯ ประกันชั้น 1 ก็ให้ความคุ้มครองครับ เช่นเดียวกับถ้ารถหาย หรือไฟไหม้ ประกันชั้น 1 ก็ให้ความคุ้มครองทั้งหมด

      ประกันประเภทถัดมา คือประกันรถยนต์ที่ปัจจุบันเห็นโฆษณาเยอะมาก ก็คือ ประกัน 2+ ซึ่งเป็นประกันที่มีมาได้ไม่นาน แต่ได้รับความนิยมสูง เพราะเบี้ยประกันถูกกว่าประกันชั้น 1 เกือบเท่าตัว แต่ได้ความคุ้มครองแทบจะเท่ากับประกันชั้น 1 เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกรณีรถหาย ไฟไหม้ หรือขับรถไปชนรถผู้อื่น ประกัน 2+ ก็ให้ความคุ้มครองทั้งหมด เว้นแต่ว่าถ้าเราขับรถไปชนสิ่งอื่นที่ไม่ใช่รถ เช่น รั้วบ้าน ต้นไม้ แบบนี้ประกันก็จะไม่จ่ายค่าซ่อมรถให้เรานะครับ รวมถึงกรณีที่เราขับไปชนรถคันอื่น แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร แบบนี้ประกัน 2+ ก็จะไม่คุ้มครองเช่นกันครับ

      ประกันอีกประเภทที่ได้รับความนิยมมากไม่แพ้กัน ก็คือ ประกัน 3+ ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะมีมาพร้อม ๆ กับประกัน 2+ โดยประกัน 3+ จะให้ความคุ้มครองแทบจะเหมือนกันทั้งหมดเลยครับ ต่างกันก็ตรงที่เพียง ประกัน 3+ จะไม่ให้ความคุ้มครองกรณีรถหาย หรือไฟไหม้ เท่านั้น ด้วยความคุ้มครองที่น้อยกว่านี้ ทำให้ประกัน 3+ มีราคาที่ถูกลงกว่าประกัน 2+ เล็กน้อยนั่นเองครับ

      ประกันประเภทสุดท้ายที่จะมาพูดถึงกันในวันนี้ ก็คือ ประกันชั้น 3 ซึ่งเป็นประกันรถยนต์แบบดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมมานาน เพราะเป็นประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ (จะทำหรือไม่ทำก็ได้) เบี้ยประกันถูกที่สุดจ่ายเพียงหลักพันต้น ๆ ต่อปี แต่ความคุ้มครองก็น้อยที่สุดด้วยเช่นกันครับ เพราะเจ้าประกันชั้น 3 นี้ ให้ความคุ้มครองเฉพาะกรณีทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเท่านั้น ไม่ได้คุ้มครองรถของคนซื้อประกันแต่อย่างใด หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เราขับรถไปชนรถผู้อื่น ประกันนี้จะซ่อมให้แต่เฉพาะรถของคู่กรณีที่เราขับชนเท่านั้น ส่วนรถของเรา เราก็ต้องดูแลตัวเองครับ

      ซึ่งที่จริงแล้วยังมีประกันรถยนต์ประเภทอื่นอยู่อีก ที่ผมไม่ได้นำมายกตัวอย่างให้ดูในวันนี้อีก เช่น ประกันชั้น 2 ชั้น 4 และชั้น 5 ก็เพราะว่าปัจจุบัน ประกันประเภทเหล่านี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้ว หรือพูดง่าย ๆ ก็คือไม่ค่อยมีคนซื้อแล้ว เนื่องจากเป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองไม่ตรงใจกับสิ่งที่ลูกค้าอยากได้

      สุดท้ายนี้ ผมก็หวังว่าทุกท่านคงพอจะเข้าใจและเห็นภาพความแตกต่างของประกันรถยนต์แต่ละประเภทมากขึ้นนะครับ (สามารถดูภาพ infographic ที่ทีมงานตั้งใจทำ เพื่อประกอบความเข้าใจมากขึ้น) และหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ท่านตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองตรงกับใจของท่านได้มากที่สุดนะครับ และหากท่านต้องการเลือกซื้อประกันรถยนต์เมื่อใด ผมก็ขอฝากประกันภัยรถยนต์ของ แอกซ่าประกันภัย ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกในอ้อมอกอ้อมใจของท่านด้วยนะครับ จะทำไม่ทำไม่มีว่ากัน แต่ถ้าสนใจลองโทรเข้ามาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้นะครับ ที่ AXA Call center โทร. 0 2118 8111 ครับ

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะครับ ตอนนี้ผมคงต้องขอลาไปก่อน หวังว่าเราจะมีโอกาสได้มาพบกันใหม่นะครับ
สวัสดีครับ