ค้นหาศูนย์บริการและสาขา เช็คราคา
icon-ask-question
ค้นหาศูนย์บริการและสาขา

กรุณากรอกข้อมูล

กรุณากรอกข้อมูล

อีเมลไม่ถูกต้อง

กรุณากรอกข้อมูล

กรุณากรอกข้อมูล

กรุณากรอกข้อมูล

ประกันภัยรถยนต์

ประกันรถยนต์ แอกซ่า พร้อมดูแลเอาใจใส่คุณด้วยบริการที่ให้คุณได้มากกว่า

ซื้อออนไลน์ได้
รับกรมธรรม์ทันที
ราคาเบี้ยถูกใจ
คุ้มครอง-ครอบคลุม-ครบ
บริการช่วยเหลือทุกที่
ทุกเวลาตลอด 24 ชม.
ผ่อน 0% 10 เดือน
ผ่านบัตรเครดิต

เลือกดูความคุ้มครองประกันรถยนต์ที่เหมาะกับคุณ

ประกันรถยนต์ของแอกซ่า ทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ ช่วยให้คุณอุ่นใจทุกครั้งที่ขับขี่รถไปทุกหนแห่ง ด้วยประกันรถยนต์ชั้น 1, 2+, 3+ และประกันรถยนต์ชั้น 3 รวมถึง พ.ร.บ. ของแอกซ่า มอบความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ สามารถเลือกปรับแต่งแผนประกัน, ทุนประกัน, ค่าเสียหายส่วนแรก, ซ่อมศูนย์/ซ่อมอู่, และอื่นๆ พร้อมรับบริการช่วยเหลืออีกมากมายจาก แอกซ่า ประกันภัย


เช็คราคาประกันรถยนต์

ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ และภาคบังคับ คืออะไร ทำไมถึงควรทำ

ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ คือหนึ่งในทางเลือกที่เกิดมาเพื่อคุ้มครองรถยนต์ทุกประเภท ครอบคลุมถึงผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร ชีวิตบุคคลภายนอก และทรัพย์สินของบุคคลภายนอกต่างๆ เรียกว่าประกันที่เสริมขึ้นมาจากประกันภัยภาคบังคับหรือ พ.ร.บ. ที่รถทุกประเภทและทุกคันจะต้องทำ ซึ่งประกันรถยนต์ภาคสมัครใจใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของรถยนต์คันนั้นๆ แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนเลือกทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจมาจากข้อดีเหล่านี้

1. แผนความคุ้มครองหลากหลาย เลือกได้ตั้งแต่ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่คุ้มครองรถยนต์คันที่เอาประกันภัยครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด หรือประกันชั้น 3+ ที่ราคาเหมาะสม แต่ช่วยให้อุ่นใจเวลาเกิดอุบัติเหตุรถชนรถ
2. ทุนประกันสูง ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าซ่อมแซมรถตัวเองเวลาเกิดอุบัติเหตุ หรือรถยนต์สูญหาย ไปจนถึงไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติ เพราะจะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขในแต่ละแผนประกัน
3. หมดเรื่องปวดหัว ทันทีที่เกิดอุบัติเหตุก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือ เข้าถึงจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว พร้อมประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพูดคุยกับคู่กรณีในเรื่องต่างๆ โดยไม่ต้องเสียเวลามาคอยติดตามความคืบหน้าด้วยตัวเอง
4. วางแผนการใช้เงินได้ง่าย แต่ละปีเพียงเตรียมงบไว้สำหรับต่อประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1, 2+, 3+ หรือ 3 แบบไม่ต้องมากังวลว่าจะมีเงินไว้ซ่อมรถหรือมอบให้กับคู่กรณีเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือไม่


ประกันรถยนต์ชั้น 1 คืออะไร เหมาะกับใครบ้าง?

ประกันรถยนต์ชั้น 1 คือประกันรถยนต์ภาคสมัครใจที่มอบความคุ้มครองมาให้ครบถ้วนที่สุดเมื่อเทียบกับประกันรถยนต์ประเภทอื่นๆ จึงทำให้ประกันชั้น 1 กลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการความอุ่นใจและไม่ต้องกังวลเมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดบนท้องถนน โดยต่อไปนี้คือรายละเอียดเบื้องต้นของประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่คุณควรรู้เอาไว้

● คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์ในหลากหลายกรณี ประกันรถยนต์ชั้น 1 มอบความคุ้มครองตัวรถยนต์ ทั้งรถคันเอาประกันภัยและคู่กรณี เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนรถ หรือแบบไม่มีคู่กรณี เช่น ชนเสาไฟ, ชนต้นไม้ ฯลฯ เป็นต้น ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อรถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ รวมถึงเสียหายจากภัยธรรมชาติ ก็ยังให้ความคุ้มครองตามทุนประกันที่ได้ระบุไว้
● คุ้มครองผู้ขับขี่ ผู้โดยสารและ ชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ไม่เพียงแค่ตัวรถยนต์ของผู้ขับขี่และคู่กรณีที่จะได้รับความคุ้มครองเท่านั้น แต่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารบนรถคันเอาประกันภัยก็ยังได้รับความคุ้มครองหากเกิดการบาดเจ็บจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และยังมีวงเงินเพื่อใช้ในการประกันตัวผู้ขับขี่อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอกที่รถยนต์คันที่ทำประกันชั้น 1 ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอีกด้วย

จากรายละเอียดความคุ้มครองที่ประกันรถยนต์ชั้น 1 ได้มอบให้นั้น นำมาสู่คำถามที่ว่า แล้วใครบ้างที่เหมาะกับการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 นี่คือกลุ่มคนที่ควรทำประกันชั้น 1 ไว้เพื่อคุ้มครองรถยนต์คันโปรด

1. รถใหม่ป้ายแดง:ไม่มีเจ้าของคนไหนอยากให้ลูกรักคันใหม่ต้องมีรอยหรือประสบอุบัติเหตุอยู่แล้ว เพราะค่าใช้จ่ายที่ตามมาย่อมสูงมาก ดังนั้นก่อนซื้อรถใหม่ทุกครั้งควรจะขอของแถมเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือเช็กราคาประกันออนไลน์เช็กราคาประกันออนไลน์หากคุณต้องซื้อด้วยตัวเอง
2. นักขับมือใหม่: สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งขับขี่รถบนท้องถนนได้ไม่นาน มักระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะประสบอุบัติเหตุอยู่ดี เพราะประสบการณ์บนถนนที่ยังเข้าใจพฤติกรรมผู้ขับขี่คนอื่นได้ไม่มากพอ ดังนั้นประกันรถยนต์ชั้น 1 จึงเหมาะมากกับนักขับมือใหม่
3. รถใช้งานบ่อย รถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์สมรรถนะสูง: หากคุณเป็นคนใช้รถยนต์ขับไปไหนมาไหนทุกวัน หรือเป็นคนรักษ์โลกที่หันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือไม่ก็เป็นนักขับตัวยงที่ชื่นชอบในการควบคุมรถยนต์สมรรถนะสูง เหล่านี้ทั้งหมดเป็นรถยนต์ที่ควรทำประกันชั้น 1 เอาไว้ และห้ามลืมต่อประกันอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหากเกิดอะไรขึ้นมาจะมีราคาที่ต้องจ่ายสูงมาก ยิ่งถ้าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าอย่างTeslaด้วยแล้ว ยิ่งต้องทำประกันชั้น 1 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า


ประกันรถยนต์ชั้น 2+ คืออะไร เหมาะกับใครบ้าง?

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ คือประกันรถยนต์ภาคสมัครใจที่ให้ความคุ้มครองรองมาจากประกันรถยนต์ชั้น 1 ตั้งแต่กรณีรถชนรถ สูญหาย ไฟไหม้ ตลอดจนคุ้มครองความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินบุคคลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือว่าฝ่ายผิด รวมถึงค่ารักษาพยาบาล อุบัติเหตุส่วนบุคคล และการประกันตัวผู้ขับขี่ นอกจากนี้ ยังเลือกความคุ้มครองรถยนต์จากภัยธรรมชาติเพิ่มเติมได้หากต้องการ
สำหรับความแตกต่างระหว่างประกันรถยนต์ชั้น 1 กับ ประกันรถยนต์ชั้น 2+ อยู่ตรงที่หากเกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี ประกันชั้น 2+ จะไม่ได้ให้ความคุ้มครองรถยนต์คันที่ทำประกันภัย

เมื่อเข้าใจถึงรายละเอียดสำคัญไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะไปดูว่าใครคือคนที่เหมาะกับการทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าในค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมที่สุด

1. คนที่มั่นใจในการขับขี่: หากใครเป็นคนที่มีประสบการณ์ใช้รถมาพอสมควร รวมถึงมีพฤติกรรมการขับรถแบบปกติ ไม่ใช้ความเร็วจนเกินกฎหมายที่กำหนดบ่อยๆ และที่ผ่านมาไม่เคยเคลมประกันรถยนต์ชั้น 1 เลย การพิจารณาทำประกันรถยนต์ชั้น 2+ ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับคุณ
2. คนที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย: จริงอยู่ที่ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองครบทุกกรณี แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยการจ่ายเบี้ยประกันที่มีราคาแพงกว่าประกันรถยนต์ชั้น 2+ เกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งใครที่ขับรถด้วยความระมัดระวังและไม่เคยมีประวัติชนหรือเคลมแบบไม่มีคู่กรณีก็สามารถเลือก เช็กราคาประกันรถยนต์ชั้น 2+ ก่อนต่อประกันได้
3. รถที่ไม่สามารถต่อประกันรถยนต์ชั้น 1 ได้: กรณีที่รถมีอายุเกิน 15 ปี นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ไม่สามารถต่อประกันรถยนต์ชั้น 1 ได้อีก ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ถึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะให้ความคุ้มครองรองจากประกันรถยนต์ชั้น 1 แถมเบี้ยประกันก็ยังมีราคาถูกกว่า เพียงแต่จะไม่สามารถเลือกซ่อมศูนย์หรือซ่อมอู่ได้เหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 1


ประกันรถยนต์ชั้น 3+ คืออะไร เหมาะกับใครบ้าง?

ประกันรถยนต์ชั้น 3+ คือประกันรถยนต์ภาคสมัครใจที่มอบความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ชั้น 2+ ไม่ว่าจะเป็นคุ้มครองกรณีรถชนรถ ทั้งรถคันที่ทำประกันภัย และรถของคู่กรณีที่ประสบอุบัติเหตุด้วยกัน รวมถึงดูแลในส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิต ร่างกายผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และคู่กรณี ในประเด็นค่ารักษาพยาบาล หรือการสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต ทั้งยังมีการประกันตัวผู้ขับขี่ให้ด้วย รวมถึงการเลือกความคุ้มครองรถยนต์จากภัยธรรมชาติเพิ่มเติมได้หากต้องการ
สำหรับความแตกต่างระหว่างประกันรถยนต์ชั้น 2+ กับ ประกันรถยนต์ชั้น 3+ อยู่ที่ ประกันรถยนต์ชั้น 3+ จะไม่มีความคุ้มครองกรณีรถหาย และไฟไหม้ให้นั่นเอง

ทีนี้ถึงเวลามาดูกันว่ามีใครบ้างที่เหมาะกับการทำประกันรถยนต์ชั้น 3+

● คนขับมือโปร: ใครเป็นนักขับผู้มีประสบการณ์บนท้องมากกว่า 10 ปี และไม่เคยประสบอุบัติเหตุใดๆ เลย คุณคือคนหนึ่งที่เหมาะกับการทำประกันรถยนต์ชั้น 3+ และอยากที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายไปพร้อมกัน
● รถที่ไม่ได้ใช้งานบ่อย: สำหรับคนที่มีรถไว้ในครอบครองหลายคัน และอายุรถยนต์ไม่เกิน 25 ปี ซึ่งส่วนใหญ่มักจอดไว้ในโรงรถ และมีการนำออกไปขับใช้งานบ้างเป็นครั้งคราว ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ก็ถือว่าเหมาะมาก เพราะให้ความคุ้มครองเกือบครบในราคาที่สบายกระเป๋ากว่า โดยเฉพาะประกันรถยนต์ชั้น 3+ ที่มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. ไว้ให้อุ่นใจ


ประกันรถยนต์ชั้น 3 คืออะไร เหมาะกับใครบ้าง?

ประกันรถยนต์ชั้น 3 คือประกันรถยนต์ภาคสมัครใจที่ให้ความคุ้มครองน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับประกันรถยนต์ประเภทอื่นๆ โดยเน้นไปที่ความคุ้มครองทรัพย์สินและชีวิตของบุคคลภายนอก รวมถึงผู้โดยสารที่มากับรถคันที่ทำทำประกันรถยนต์ชั้น 3 เท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมในเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นตัวรถแต่อย่างใด

คราวนี้ก็มาดูว่าใครบ้างที่เหมาะสำหรับการทำประกันรถยนต์ชั้น 3

● รถที่มีอายุเกิน 25 ปี: หากรถยนต์สุดรักของคุณอยู่มานานเกิน 25 ปีแล้ว นั้นหมายความว่าคุณจะไม่สามารถทำประกันรถยนต์ชั้น 1, 2+, และ 3+ ได้อีกต่อไป แต่คุณก็ยังทำประกันรถยนต์ชั้น 3 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นระหว่างขับขี่รถบนท้องถนน
● ผู้ที่ชอบเก็บสะสมรถเก่า: มีหลายคนที่เก็บสะสมรถเก่าอายุมากกว่า 20 ปี ด้วยเหตุผลทางด้านจิตใจและความชอบส่วนตัว ซึ่งรถเหล่านี้อาจไม่ได้มีการนำออกมาขับบ่อยนัก แต่เพื่อความปลอดภัยก็สามารถประกันรถยนต์ชั้น 3 เผื่อไว้เพื่อความอุ่นใจได้เหมือนกัน
● นักขับประสบการณ์สูงที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย: สำหรับคนที่ขับรถมาหลายสิบปีแต่ก็ไม่เคยเป็นฝ่ายผิดไปชนใครก่อนเลย คุณอาจเลือกทำประกันรถยนต์ชั้น 3 เผื่อไว้ เพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในการชดเชยให้กับคู่กรณี แลกมากับการจ่ายเบี้ยประกันรถยนต์แต่ละปีที่ต่ำกว่าประกันภัยแผนอื่นค่อนข้างมาก

ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) คืออะไร ทำไมต้องทำ?

ประกันรถยนต์ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) คือ ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองต่อทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือคนเดินถนน และยังครอบคลุมการสูญเสียอวัยวะ การสูญเสียชีวิต รวมถึงค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย โดยตามกฎหมายเจ้าของรถต้องทำ พ.ร.บ. สำหรับรถทุกประเภท ทุกคัน และพ.ร.บ. ยังเป็นเงื่อนไขจำเป็นชึ่งใช้ในการจดทะเบียนรถ และการชำระภาษีรถยนต์ประจำปีอีกด้วย

แต่การ ต่อ พ.ร.บ. อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เนื่องจาก พ.ร.บ. ให้คุ้มครองในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคนเท่านั้น ได้แก่

1. คุ้มครองค่าเสียหายเบื้องต้น* (ไม่ต้องพิสูจน์ความผิด) เช่น ค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บ ค่าเสียหายในกรณีทุพพลภาพ และเป็นค่าปลงศพในกรณีเสียชีวิต ฯลฯ เป็นต้น
2. คุ้มครองค่าสินไหมทดแทน** เช่น กรณีบาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร และเสียชีวิต จะได้รับสินไหมทดแทนในจำนวนที่แตกต่างกันไป โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

*บริษัทจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่ต้องรอการพิสูจน์ความรับผิด
**บริษัทจ่ายค่าสินไหมทดแทน กรณีพิสูจน์แล้วว่าผู้ประสบภัยเป็นฝ่ายถูก ไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย


ค่าเสียหายส่วนแรกระหว่าง Deductible กับ Excess คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร

Deductible กับ Excess เป็นคำที่หลายคนเคยเห็นเมื่อกำลังตัดสินใจทำประกันรถยนต์ประเภทต่างๆ อยู่เสมอ ซึ่งคุณก็คงพอรู้ว่าสองคำนี้มีความหมายเหมือนกันนั่นก็คือ “ค่าเสียหายส่วนแรก” แต่จริงๆ แล้วยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน และมีอะไรบ้างนั้นเรามาทำความเข้าใจถึงความแตกต่างไปพร้อมกัน

Deductible คือค่าเสียหายส่วนแรกแบบสมัครใจ ที่จะต้องเสียทุกครั้งหากคุณต้องการเคลมประกันในกรณีที่คุณเป็นฝ่ายผิด โดยคุณสามารถเลือกได้ว่าจะทำประกันรถยนต์ชั้น 1+, 2+, และ 3+ แบบที่มีค่า Deductible หรือไม่ เพราะสิ่งที่ได้มาคือส่วนลดค่าเบี้ยประกันที่ถูกกว่าแบบไม่มีค่าเสียหายส่วนแรกนั่นเอง เช่น ประกันรถยนต์ชั้น 1 แบบปกติ เบี้ยอยู่ที่ 25,000 บาท แต่ถ้ามีค่า Deductible ที่ 3,000 บาท เบี้ยประกันอาจลดมาเหลือ 20,000-22,000 บาทต่อปี อย่างนี้เป็นต้น

Excess คือค่าเสียหายส่วนแรกแบบบังคับ (ตามเงื่อนไขของ คปภ.*) ที่มีเงื่อนไขระบุว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเอง เช่น กรณีเป็นการประกันภัยแบบระบุชื่อผู้ขับขี่ แต่เมื่อเกิดความเสียหายจากการชนกับรถคู่กรณี แล้วผู้ขับขี่รถคันเอาประกันไม่ใช่ผู้ขับขี่ที่ระบุชื่อในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ 2,000 บาทแรกของความเสียหายต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก และ 6,000 บาทแรกของความเสียหายต่อรถยนต์ และไม่ได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันเหมือนกับผู้ทำประกันที่เลือกแบบมีค่า Deductible เพื่อลดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
*คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย

ซ่อมห้างกับซ่อมอู่ในเครือแอกซ่า แตกต่างกันอย่างไร

ประกันรถยนต์แบบซ่อมห้าง หรือที่หลายคนเรียกว่าซ่อมศูนย์ หมายถึงประกันรถยนต์ที่จะนำรถที่ทำประกันภัยไปซ่อมกับศูนย์บริการของแบรนด์รถยนต์คันนั้น เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการซ่อมทั้งหมดจะเป็นไปตามมาตรฐาน พร้อมทั้งมีการใช้อะไหล่แท้ของรถยี่ห้อนั้นจริงๆ และระหว่างการซ่อมแซมไปจนถึงขั้นตอนการส่งมอบรถที่สมบูรณ์ถึงมือเจ้าของรถ จะมีช่างผู้ชำนาญการคอยดูแลจัดการให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุดตามแนวทางการทำงานของแบรนด์รถยี่ห้อนั้นๆ นอกจากนี้ยังมีการรับประกันงานซ่อมหลังจากส่งมอบให้ลูกค้ากลับไปใช้งานแล้วอีกด้วย ซึ่งระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละแบรนด์

ประกันรถยนต์แบบซ่อมอู่ คือประกันรถยนต์ที่จะนำรถยนต์คันที่ทำประกันภัยไปซ่อมกับอู่ซ่อมรถที่ได้ตกลงเป็นอู่พันธมิตรหรืออู่ในเครือ พร้อมจัดการซ่อมรถยนต์ด้วยทีมช่างภายในอู่ที่มีความชำนาญ ในส่วนของอะไหล่ที่เลือกใช้นั้นจะเป็นอะไหล่ตามมาตรฐานอู่ซ่อม นอกจากนี้ ขั้นตอนในการทำงานก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละอู่ หากเป็นอู่ระดับคุณภาพและอู่คัดสรรของแอกซ่ามีการรับประกันงานซ่อมหลังจากการส่งมอบรถให้ลูกค้า

สำหรับหลักเกณฑ์ในการเลือกว่าจะทำประกันรถยนต์แบบซ่อมศูนย์หรือซ่อมอู่นั้น มีวิธีดูง่ายๆ ดังนี้

1. รถใหม่อายุต่ำกว่า 5 ปี: ควรเลือกทำประกันรถยนต์แบบซ่อมห้าง เพราะมั่นใจได้ว่าจะได้อะไหล่แท้ของรถแบรนด์นั้นจริงๆ รวมถึงช่างที่เป็นผู้ซ่อมแซมยังผ่านการฝึกอบรมเพื่อจัดการกับรถรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกมาโดยเฉพาะ และทำให้รถมีสภาพสมบูรณ์เหมือนกับตอนที่ยังไม่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด
2. รถอายุมากกว่า 5 ปี: สามารถเลือกประกันรถยนต์แบบซ่อมอู่ได้ แอกซ่ามีอู่ในเครือที่มีมาตรฐานในการคัดเลือกสูงทัดเทียมกับศูนย์บริการที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่างานซ่อมตัวถังและสีได้มาตรฐานเทียบศูนย์บริการ โดยเฉพาะ AXA Preferred Garage หรืออู่ระดับคุณภาพในเครือแอกซ่า ที่มีจุดเด่นดังนี้
○ นำรถเข้าซ่อมได้ทันทีไม่ต้องรอคิว
○ งานซ่อมตัวถังและสีมีมาตรฐานระดับสูง
○ รับประกันคุณภาพงานซ่อมเป็นเวลา 1 ปี
○ บริการล้างและทำความสะอาดรถยนต์ก่อนส่งมอบ
○ บริการส่งมอบรถถึงบ้านภายในรัศมี 10 กม. จากอู่ที่ซ่อมรถ

ข้อแนะนำเพิ่มเติม
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ การเลือกแผนประกันภัยที่เหมาะกับความต้องการและความจำเป็นถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นควรตรวจสอบเงื่อนไขการรับประกันภัย รวมถึงการจ่ายผลประโยชน์เป็นไปตามรายละเอียดในกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

ท่านสามารถซื้อประกันรถยนต์ประเภท 1, ประกันรถยนต์ชั้น 2+, ประกันรถยนต์ชั้น 3+ พร้อมกับประกันภาคบังคับ(พ.ร.บ) ได้รวดเร็ว และรับกรมธรรม์ผ่านอีเมลทันทีที่ แอกซ่าประกันรถยนต์ออนไลน์ >  https://direct.axa.co.th/Motor/GetQuote

เป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าประกันภัยรถยนต์ แอกซ่าไม่หักค่าเสื่อมราคา 4 รายการหลัก ที่เกิดจากความเสียหายจากอุบัติเหตุ ได้แก่

  1. ยางรถยนต์
  2. แบตเตอรี่สำหรับสตาร์ตเครื่องยนต์
  3. วิทยุ และเครื่องเสียง
  4. น้ำมันเครื่อง สารหล่อลื่น สารหล่อเย็นของระบบแอร์

เฉพาะรถยนต์ 4 ล้อ เช่น รถเก๋ง รถกระบะ และรถตู้ เท่านั้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.axa.co.th/axa-4-u

แอกซ่ารับประกันรถยนต์ประเภท 1, ประกันรถยนต์ชั้น 2+, ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ,ประกันรถยนต์ชั้น 3 และประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ)

ท่านสามารถซื้อ หรือต่ออายุประกันรถยนต์ได้ล่วงหน้าสูงสุด 90 วัน

ท่านจะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันภัยถ้าท่านมีกล้องติดรถยนต์

สำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันรถยนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ ท่านสามารถเลือกผ่อนชำระค่าเบี้ยประกันผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต ได้ 4 เดือน สำหรับช่องทางตัวแทน และโบรคเกอร์ กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรงเพื่อแจ้งข้อเสนอผ่อนชำระรายเดือนให้ท่าน

ประกันรถยนต์ประเภท 1 และประกันรถยนต์ชั้น 2+ ทุนประกันมากกว่า 500,000 บาทขึ้นไป

หลังจากบริษัทฯ ได้รับชำระค่าเบี้ยประกันภัย จะมีผลคุ้มครองรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยในกรณีความเสียหายต่อรถยนต์เนื่องจากการชนกับยานพาหนะทางบก เฉพาะในกรณีที่ผู้เอาประกันแจ้งให้บริษัทไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุทันทีเท่านั้น โดยกรมธรรม์จะให้ความคุ้มครองตามเงื่อนไขที่ระบุในกรมธรรม์เมื่อบริษัทฯส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสภาพรถคันเอาประกันภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เหตุการณ์อะไรบ้างที่จะได้รับความคุ้มครองยางรถยนต์

  • ยางฉีกขาด หรือระเบิด เมื่อรถยนต์เกิดอุบัติเหตุจากการชน และส่วนอื่นของรถยนต์ได้รับความเสียหายในเวลาเดียวกัน
  • ยางบวม หรือแก้มยางฉีกขาดตอนเบียดฟุตบาท เมื่อแม็ก หรือล้อได้รับความเสียหายพร้อมกัน
  • ยางบวม หรือฉีกขาดตอนขับรถตกหลุม และแม็กดุ้ง เมื่อแม็ก หรือล้อได้รับความเสียหายพร้อมกัน

 

เหตุการณ์อะไรบ้างที่จะไม่ได้รับคุ้มครองยางรถยนต์

  • ยางบวม หรือแก้มยางฉีกขาดตอนเบียดฟุตบาท แต่แม็ก หรือล้อไม่ได้รับความเสียหาย
  • ยางบวม หรือฉีกขาดตอนขับรถตกหลุม แต่แม็ก หรือล้อไม่ได้รับความเสียหาย
  • ยางเหยียบตะปู หรือวัตถุมีคม
  • ยางระเบิดขณะขับรถ โดยไม่มีอุบัติเหตุ
  • แก้มยางเฉี่ยววัตถุมีคม หรือ สิ่งกีดขวาง
  • เหตุการณ์อื่นๆ ที่ไม่ได้คุ้มครอง

กรมธรรม์ฉบับนี้คุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งจากมาตรฐานมาจากโรงงานประกอบรถยนต์ หรือศูนย์จำหน่ายรถยนต์ อุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมที่ไม่ได้แจ้งกับทางแอกซ่าจะได้รับความคุ้มครองตามด้านล่าง แต่ไม่เกินมูลค่าที่แท้จริง ณ วันเกิดเหตุ

  • ประกันรถยนต์ชั้น 1  คุ้มครองไม่เกิน 20,000 บาท / ครั้ง
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2+ และ 3+  คุ้มครองไม่เกิน 10,000 บาท / ครั้ง

บริษัทฯ ไม่พิจารณารับประกันภัยอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม ดังนี้ 

  1. อุปกรณ์ตกแต่งที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ได้แก่ กล้องติดหน้ารถ หรือ จานเสาอากาศรับสัญญานดาวเทียมสำหรับรถยนต์ เป็นต้น
  2. เคฟลาร์
  3. การเคลือบสีแบบคริสตัล/แก้ว หรือ การเคลือบสีแบบอื่นๆที่เป็นลักษณะเดียวกัน
  4. การติดสติกเกอร์ ได้แก่ สติกเกอร์เพื่อเปลี่ยนสีรถทั้งคัน (Car Wrap), การติดสติกเกอร์เพื่อเปลี่ยนสีรถบางส่วน, สติกเกอร์แต่งลาย เป็นต้น

สำหรับกรมธรรม์ที่ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ บริษัทฯ ไม่พิจารณารับประกันภัยอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมดังนี้
โครงหลังคาเหล็ก ตู้แห้ง หรือตู้เย็น

ท่านสามารถตรวจสอบรายชื่ออู่ประกัน และอู่ในเครือแอกซ่าประกันภัยได้ที่ https://www.axa.co.th/garage-locator โดยท่านสามารถค้นหาจากจังหวัด, เขต และพื้นที่ใกล้เคียงของท่านได้

Preferred Garage หรือ อู่ระดับคุณภาพ เป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าแอกซ่า ณ อู่ที่ร่วมโครงการ

  • บริการซ่อมทันที ไม่ต้องรอคิว
  • บริการส่งรถภายในรัศมี 10 กิโลเมตร
  • รับประกันคุณภาพการซ่อม ภายในระยะเวลา 1 ปี หลังการซ่อม
  • รับประกันงานซ่อมตัวถัง ด้วยสีคุณภาพสูง
  • บริการล้างทำความสะอาด ก่อนส่งมอบรถ

Trusted Garage หรือ อู่คัดสรร อู่ที่ทางแอกซ่าคัดมาแล้วเชื่อถือได้ สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าแอกซ่า ณ อู่รถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการ

  • ครอบคลุมพื้นที่ทั้งกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล
  • รับประกันงานซ่อม นานถึง 1 ปี
  • สะดวกกว่า แจ้งเคลมได้ทันที ที่อู่คัดสรรในเครือแอกซ่า

เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ท่านสามารถติดต่อได้ที่สายด่วน แอกซ่า โรดไซด์ เซอร์วิส เบอร์โทรศัพท์ 02-118-8111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เมื่อเกิดความเสียหายหรือความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยเกิดขึ้น ผู้เอาประกันภัยหรือผู้ขับขี่จะต้องแจ้งให้บริษัทฯทราบโดยไม่ชักช้า

ท่านสามารถดูคำแนะนำแบบละเอียด ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม ขั้นตอนการเตรียมเอกสาร รวมถึงการนำรถเข้าจัดซ่อม ได้ที่ https://www.axa.co.th/private-car-insurance-claim หรือหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ AXA Customer Service


☎ เบอร์โทรศัพท์: 02-118-8111
✉ อีเมล: axathai@axa.co.th
Ⓕ Facebook: AXA Thailand / www.facebook.com/AXAThailand
✎ LINE: @axathailand หรือคลิก line.me/ti/p/%40ved1579k

ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30-18.30 น.
วันเสาร์ ระหว่างเวลา 09.30 – 18.00
(เว้นวันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์)

ถ้าท่านซื้อกรมธรรม์ประกันรถยนต์ผ่านทางแอกซ่าโดยตรง ท่านสามารถติดต่อบริษัทฯ ได้ที่ AXA Customer Service

☎ เบอร์โทรศัพท์: 02-118-8111
✉ อีเมล: axathai@axa.co.th
Ⓕ Facebook: AXA Thailand / www.facebook.com/AXAThailand
✎ LINE: @axathailand หรือคลิก line.me/ti/p/%40ved1579k


ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30-18.30 น.
วันเสาร์ ระหว่างเวลา 09.30 – 18.00
(เว้นวันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์)

กรณีการยกเลิกกรมธรรม์ ผู้เอาประกันภัยต้องแจ้งการยกเลิกกรมธรรม์กับบริษัทฯเป็นลายลักษณ์อักษร โดยวันยกเลิกกรมธรรม์จะมีผล 1 วันหลังจากวันที่ทางบริษัทฯได้รับหนังสือการแจ้งยกเลิกกรมธรรม์ หรือวันที่ระบุไว้ในหนังสือการแจ้งยกเลิกกรมธรรม์ ทางบริษัทฯจะใช้วันที่มาทีหลัง โดยไม่มีกรณียกเว้น

ถ้าท่านซื้อกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ผ่านช่องทางตัวแทน หรือโบรคเกอร์ ท่านสามารถติดต่อตัวแทนหรือนายหน้าของท่านโดยตรง

เมื่อท่านได้โอนรถให้แก่ผู้อื่น ให้ถือว่าผู้รับโอนเป็นผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัย และบริษัทฯจะรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยต่อไปตลอดอายุกรมธรรม์ประกันภัยที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ทำประกันภัยประเภทระบุชื่อผู้ขับขี่ ท่านจะต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ขับขี่ให้บริษัทฯทราบ เพื่อจะได้มีการปรับปรุงอัตราเบี้ยประกันภัยตามสภาพความเสี่ยงภัยที่เปลี่ยนแปลงไป มิฉะนั้นผู้เอาประกันภัยใหม่อาจจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายส่วนแรกเองตามเงื่อนไขความคุ้มครอง

สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่มีความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ และท่านได้ขายรถยนต์ให้แก่ผู้มีอาชีพรับซื้อขายรถยนต์ หรือให้เช่ารถยนต์ หรือซ่อมแซมรถยนต์ หรือบำรุงรักษารถยนต์ ไม่ว่าการขายนั้นจะได้มีการทำเป็นหนังสือ หรือมีการจดทะเบียนโอนทางทะเบียนหรือไม่ก็ตาม กรมธรรม์ประกันภัยจะสิ้นสุดความคุ้มครองนับแต่ วัน เวลาที่มีการขายรถยนต์ บริษัทฯจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่ท่าน โดยหักเบี้ยประกันภัยสำหรับระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยได้ใช้บังคับมาแล้วออกตามส่วน ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่บริษัทฯได้รับแจ้งการขาย หรือกรณีที่บริษัทฯทราบถึงการขายรถยนต์ดังกล่าว บริษัทฯจะแจ้งการสิ้นสุดความคุ้มครองพร้อมคืนเบี้ยประกันภัย โดยการส่งหนังสือถึงท่านตามที่อยู่ครั้งสุดท้ายที่แจ้งให้บริษัททราบ

<
ตารางเปรียบเทียบ

และความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์

อ่านต่อ
<
ค้นหาอู่ซ่อมคุณภาพ

ทั้งอู่ห้าง และอู่ในเครือแอกซ่า ประกันภัย

อ่านต่อ
<
แจ้งแคลม

ขั้นตอนในการเรียกร้องค่าสินไหมและเอกสารการเคลมประกัน

อ่านต่อ
<
แอกซ่า โรดไซด์ เซอร์วิส

บริการช่วยเหลือทุกที่ ทุกเวลา 24 ชม.

อ่านต่อ
<
แอกซ่า ฟอร์ ยู

ไม่หักค่าเสื่อมราคา 4 รายการหลัก

อ่านต่อ
<
แอกซ่า ชัวร์

รับประกันงานบริการสำรวจอุบัติเหตุ

อ่านต่อ